An Inconvenient Truth เรื่องจริงช็อคโลก (2006)
คลิกดูคลิปสำรองได้ที่นี่ แชร์4
An Inconvenient Sequel- Truth to Power (2017) บรรยายไทย
คลิกดูคลิปสำรองได้ที่นี่ แชร์4
An Inconvenient Truth เรื่องจริงช็อคโลก (2006)
คลิกดูคลิปสำรองได้ที่นี่ แชร์4
An Inconvenient Sequel- Truth to Power (2017) บรรยายไทย
คลิกดูคลิปสำรองได้ที่นี่ แชร์4
หมอนปรับให้ – จี้ถิง ซู อาจารย์มหาวิทยาลัยเสิ่นเจิ้น ประเทศจีน ผู้ร่วมก่อตั้งแมทริกซ์ พิลโลว์ สตาร์ตอัพพัฒนาเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกา แนะนำ “แมทริกซ์พิลโลว์” (Matrix Pillow) หมอนใบแรกของโลกที่ปรับตัวได้เอง ช่วยลดความเมื่อยล้าของส่วนคอและหลัง ทั้งยังแก้ปัญหาการนอนกรน ทำให้หลับได้ลึกและนอนพักผ่อนได้นานขึ้น
หมอนนี้มีขนาดกว้าง 14.7 นิ้ว ยาว 25.5 นิ้ว และสูง 4.3 นิ้ว แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นบนใช้เมมโมรีโฟมโพลียูรีเทนเติมสารเพิ่มความหนืดและสารเพิ่มความหนาแน่นด้วยปฏิกิริยาโพลีเมอร์ไรเซชั่น พัฒนาขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ (นาซ่า) เพื่อใช้ลดแรงกดทับในขณะนั่งกระสวยอวกาศ
ส่วนชั้นล่างเป็นฟองน้ำที่มีความยืดหยุ่นสูง ลายแฉกแบ่งให้หมอนแยกเป็น 14 ส่วนที่เคลื่อนไหวเป็นอิสระต่อกัน รองรับส่วนศีรษะและคอตามแรงกดที่เปลี่ยนไปอัตโนมัติ แก้ปัญหาปวดเมื่อยคอและหลัง ต่างจากการใช้หมอนปกติที่คงรูป
เมื่อผู้นอนตะแคงตัวเอนด้านข้าง กระดูก สันหลังส่วนคอจะไม่อยู่ในแนวตรง รวมทั้งไม่ได้รองรับส่วนศีรษะและคอ กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวจึงบาดเจ็บสะสมต่อเนื่องตลอดคืน ต่างจากการใช้หมอนแมทริกซ์พิลโลว์ซึ่งจะแบ่งการรองรับทุกส่วนที่หมอนได้รับแรงกด และระบายอากาศได้ดีเยี่ยม ช่วยให้นอนหลับสบาย
จากการทดสอบพบว่าแมทริกซ์พิลโลว์ช่วยเพิ่มระยะเวลาช่วงหลับลึกให้นานขึ้นสูงสุด 2 ชั่วโมง ซึ่งการนอนในช่วงนี้มีความสำคัญทำให้จากร่างกายได้ผักผ่อนเต็มที่ รวมทั้งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย
https://www.khaosod.co.th/newspaper-column/sci-tech/news_4919501
ร้านอาหารสไตล์อิตาเลียนในกรุงโซล ดำเนินมาตรการเสิร์ฟอาหารให้แก่ลูกค้าอย่างปลอดภัย และรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันโควิด-19 แต่การเสิร์ฟอาหารของร้านนี้ ไม่ได้ใช้พนักงานเสิร์ฟที่เป็นคน แต่เป็นหุ่นยนต์
นายอี ยอง-จิน หัวหน้าทีมเอไอ แพลตฟอร์ม บิสซินเนส ของบริษัทผู้ผลิตหุ่นยนต์ ระบุว่า หุ่นยนต์เอไอตัวนี้ใช้เอไอ หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ชื่อว่า “Aglio Kim” สูง 1.25 เมตร พัฒนาโดยเคที คอร์ป บริษัทเทเลคอมในเกาหลีใต้
หุ่นยนต์เอไอ สามารถเสิร์ฟอาหาร และใช้วิธีการระบุตำแหน่งพร้อมกับการสร้างแผนที่ หรือ SLAM เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง และหาตำแหน่งรอบตัวลูกค้า นอกจากนี้ หุ่นยนต์ สามารถเสิร์ฟอาหารได้ถึง 4 โต๊ะในครั้งเดียว
หุ่นยนต์เอไอ ติดถาดเสิร์ฟอาหาร ซึ่งสามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 30 กิโลกรัม และติดจอแอลซีดี รวมถึงสื่อสารได้ทั้งภาษาเกาหลี และภาษาอังกฤษ
ด้าน นายอี ยอง-โฮ ผู้จัดการร้านอาหาร Mad for Garlic กล่าวว่า ลูกค้ามีความสนใจเป็นพิเศษต่อหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหาร เพราะรู้สึกถึงความปลอดภัยจากไวรัสโควิด-19
เคที คอร์ป ระบุว่า ทางบริษัทวางเป้าหมายเพิ่มหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารตามร้านต่างๆ ในปีนี้ และจะเปิดตัวหุ่นยนต์รุ่นที่ 2 ในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งจะนำเทคโนโลยีจดจำเสียงเข้ามาใช้ด้วย ทั้งนี้ สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคเกาหลี รายงานว่า พบผู้ติดเชื้ออีก 106 คนเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ตัวเลขผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 22,391 ราย และเสียชีวิตสะสม 367 ราย
https://www.tnnthailand.com/content/55070
ลิงจ๊ะเอ๊…. ชายชาวมาเลเซียพบภาพถ่ายและวิดีโอเซลฟี่ฝีมือลิงจากโทรศัพท์มือถือที่สูญหายไป 1 วัน หลังได้มือถือกลับคืนมาในป่าลึกด้านหลังบ้านของตัวเอง http://nuclear.rmutphysics.com/blog-sci5/?p=14098
โพสต์โดย ฟิสิกส์ ราชมงคล เมื่อ วันอังคารที่ 15 กันยายน 2020
รูป-คลิปเซลฟี่ “ลิง” เพียบ- วันที่ 15 ก.ย. บีบีซี รายงานว่า ชายชาวมาเลเซียพบภาพถ่ายและวิดีโอเซลฟี่ฝีมือลิงจากโทรศัพท์มือถือที่สูญหายไป 1 วัน หลังได้มือถือกลับคืนมาในป่าลึกด้านหลังบ้านของตัวเอง ในเขตบาตู ปาฮัท รัฐยะโฮร์ ทางใต้ของมาเลเซีย
แซกริดช์ รอดซี หนุ่มวัย 20 ปี โพสต์วิดีโอลงทวิตเตอร์ เผยลิงพยายามเขมือบโทรศัพท์มือถือ และจ้องมองกล้องมือถือที่มีฉากหลังเป็นใบไม้สีเขียวอ่อนและนกกา และยังมีชุดภาพถ่ายลิง ต้นไม้ และใบไม้ พร้อมข้อความ “บางสิ่งที่คุณอาจเห็นสักครั้งในรอบศตวรรษ”
นายแซกริดช์ นักศึกษาปี 4 สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ เผยรู้ตัวว่ามือถือหายไปเมื่อตื่นราว 11 โมง เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 12 ส.ค. ตอนแรกคิดว่ามือถือถูกขโมยขณะที่ตัวเองนอนหลับไม่มีร่องรอยการชิงทรัพย์ สิ่งเดียวที่คิดคือ เวทมนตร์ อะไรบางอย่าง เนื่องจากยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามือถือหายไปได้อย่างไร
นายแซกริดซ์กล่าวไม่สามารถหาร่องรอยกระทั่งบ่ายวันที่ 13 ส.ค. พ่อพบลิงตัวหนึ่งอยู่ด้านนอกบ้าน จึงลองโทรศัพท์เข้ามือถือลูกชาย และได้ยินเสียงเรียกเข้าดังมาจากป่าลึกห่างจากไม่กี่ก้าวจากสวนหลังบ้าน และพบมือถือเปื้อนโคลนบนกอใบไม้ใต้ต้นปาล์ม
ขณะที่ลุงของนายแซกริดซ์พูดในทำนองตลก อาจมีภาพถ่ายของโจรมือถือก็ได้ จึงลองเช็ดมือถือสะอาดและเปิดเครื่องพบภาพถ่ายเต็มไปด้วยลิง
นักศึกษาหนุ่มเผยว่า ลิงในละแวกแถวบ้านไม่มีประวัติลักขโมยข้าวของตามบ้านเรือน เหมือนลิงที่อื่นๆ ส่วนลิงตัวนี้ที่ปรากฏในภาพถ่ายเซลฟี่และวิดีโอสงสัยอาจเข้ามาในบ้านตนผ่านหน้าต่างห้องนอนของพี่ชายที่เปิดทิ้ง
https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_4916750
เพจ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ โพสต์แถลง การค้นพบครั้งสำคัญบนดาวศุกร์ที่อาจจะบ่งชี้ถึงสิ่งมีชีวิตบนดาวศุกร์ ข้อมูลจาก มติพล ตั้งมติธรรม – ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ สดร.
ทีมนักดาราศาสตร์นำโดย Jane Greaves จาก Cardiff University สหราชอาณาจักรเผยถึงการค้นพบโมเลกุลของฟอสฟีน ซึ่งอาจจะบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์ ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Astronomy ในวันนี้ (14 กันยายน 2563)
ฟอสฟีน (Phosphine) บนโลกมีสถานะเป็นก๊าซที่ไม่มีสี ไวไฟ และเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตเป็นอย่างมาก
บนโลก ฟอสฟีนมีแหล่งกำเนิดเพียงแค่สองแหล่ง คือ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากอุตสาหกรรม หรือเกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากออกซิเจน
ดังนั้นการที่จะพบฟอสฟีนอยู่ในชั้นบรรยากาศได้จึงจำเป็นที่จะต้องมีแหล่งที่ผลิตฟอสฟีนมาชดเชยอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งคำถามแรกที่นักดาราศาสตร์จะต้องตอบให้ได้เสียก่อน ก็คือ มีกลวิธีใดอีกไหมบนดาวศุกร์ ที่อาจจะทำให้เกิดโมเลกุลของฟอสฟีนได้
ทีมนักวิจัยที่นำโดย William Bains จาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) จึงลองทำการประเมินกลไกตามธรรมชาติที่อาจจะผลิตฟอสฟีนได้บนดาวศุกร์ ตั้งแต่ แสงแดด แร่ธาตุทื่ถูกพัดขึ้นมาจากพื้นผิวเบื้องล่าง ภูเขาไฟระเบิด ฟ้าผ่า ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะลองพิจารณาเช่นไร การคำนวณก็พบว่าแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติเหล่านี้ไม่สามารถที่จะผลิตแม้กระทั่งปริมาณฟอสฟีนหนึ่งในหมื่นของที่ตรวจพบโดยกล้องโทรทรรศน์
แต่ในทางตรงกันข้าม หากทีมลองพิจารณาถึงแหล่งกำเนิดที่เกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตแล้ว กลับพบว่าหากสิ่งมีชีวิตทำงานแค่เพียง 10% ของขีดจำกัดสูงสุด ก็จะสามารถผลิตฟอสฟีนเพียงพอที่จะอธิบายปริมาณที่ตรวจพบบนชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์ได้แล้ว
#เท่ากับว่าเราค้นพบสิ่งมีชีวิตบนดาวศุกร์หรือไม่?
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า
การค้นพบฟอสฟีนในปริมาณที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยกลไกตามธรรมชาตินั้นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น และทำให้เราต้องกลับมาพิจารณาทฤษฎีการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตบนชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การค้นพบนี้ยังห่างไกลจากการยืนยันถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตพอสมควร แม้ว่าในปัจจุบัน ทฤษฎีที่บ่งชี้ว่าฟอสฟีนในชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์นั้นเกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตจะเป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงปริมาณฟอสฟีนที่พบได้ดีที่สุด แต่การจะยืนยันว่าดาวศุกร์นั้นมีสิ่งมีชีวิตยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลอีกมาก
แม้ว่าชั้นบรรยากาศตอนบนของดาวศุกร์อาจจะมีอุณหภูมิเพียง 30 องศา แต่ชั้นบรรยากาศในบริเวณนี้นั้นก็ยังเต็มไปด้วยกรดกำมะถันกว่า 90% ซึ่งเรายังไม่พบว่ามีสิ่งมีชีวิตใดบนโลกที่สามารถอยู่รอดในสภาวะเช่นนั้นได้
หากชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์มีสิ่งมีชีวิตจริง ก็เป็นไปได้ว่าสิ่งมีชีวิตบนดาวศุกร์นั้นอาจจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับสิ่งมีชีวิตใดๆ บนโลกที่เรารู้จัก
และแน่นอนว่าก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าฟอสฟีนที่พบนั้นอาจจะเป็นเพียงผลผลิตจากปฏิกิริยาเคมีแบบใหม่ที่เรายังไม่รู้จัก
ในปี 1948 ศิลปิน Kenneth Snelson ได้สร้างประติมากรรมชื่อ“ X-Piece” ซึ่งต่อมาได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับคำว่า“ tenegrity”ในปี 1960 ศิลปิน, นักประดิษฐ์และนักคณิตศาสตร์ R. Buckminster Fuller ประกาศเกียรติคุณคำว่า “Tensegrity” บรรจุเป็นคำหลัก คำว่า tenegrity เป็น คำผสม
-มันเป็นระบบที่พึ่งพาด้วยตัวมันเอง
-มันไม่จำเป็นต้องมีโครงสร้างรองรับแนวตั้งหรือแนวนอนภายใน
-มันประกอบด้วยเสาแรงบีบอัดที่แยกและไม่สัมผัสภายในกันของระบบความตึงสายต่อเนื่องกัน
compression การบีบอัด ในความหมายของเค้าคือ การกดของฝั่งตรงกันข้าม เช่น บนและล่าง ซ้ายและขวา ระบบ Tensegrity มีความโดดเด่นในเรื่องของความเสถียรโดยองค์ประกอบความตึงแบบต่อเนื่องที่มีองค์ประกอบการบีบอัดไม่ต่อเนื่องหรือการบีบอัดแบบลอยตัว ตรงกันข้ามกับโครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นส่วนใหญ่ ซึ่งมีความเสถียรโดยการบีบอัดแรงโน้มถ่วงต่อเนื่อง ตัวอย่างที่ค่อนข้างทันสมัยของหินนี้คือสโตนเฮนจ์ซึ่งหากนำไปสู่อวกาศจะแยกออกเป็นชิ้นส่วนที่แยกจากกันและทำให้หินก้อนใหญ่ลอยอยู่รอบ ๆ ในขณะที่โครงสร้างแรงดึงรักษารูปร่างของพวกเขาเข้าและออกจากแรงโน้มถ่วง
วันนี้โครงสร้าง tenegrity ส่วนใหญ่จะเห็นชิ้นงานศิลปะสะพานโดมและของเล่นเด็ก Tensegrity เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นเมื่อผลักและดึงมีความสัมพันธ์แบบ win-win ซึ่งกันและกัน Buckminster Fuller อธิบายว่าปรากฏการณ์พื้นฐานเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ตรงกันข้าม แต่เป็นการเติมเต็มที่สามารถพบได้ด้วยกันเสมอ
สรุป ระบบtensegrity ที่ใช้ประโยชน์ในปัจจุบันที่เราเห็นได้มากเลย พวกสะพานเเขวน เต๊นท์ รวมถึง งานสถาปัตยกรรม (รองรับแรงลมและเเผ่นดินไหว)การสร้างรูปทรงต่างๆแนวคิดเกิดจากโครงสร้างเส้นเอ็นแนวกระดูกสันหลังมนุษย์ ซึ่งถ้าเส้นนึงขาดก็เสียสมดุลไปบางจุด เราสามารถนำความรู้ไปต่อยอดสำหรับงานออกแบบได้มากมายตามรูปตัวอย่าง หายสงสัยกันแล้วนะคะ มันเป็นระบบที่พึ่งพาด้วยตัวมันเอง มันไม่จำเป็นต้องมีโครงสร้างรองรับแนวตั้งหรือแนวนอนภายใน มันประกอบด้วยเสาแรงบีบอัดที่แยกและไม่สัมผัสภายในกันของระบบความตึงสายต่อเนื่องกัน
ขอขอบคุณที่มาจาก: Diy สารพัดช่างgenz fast
อ้างโควิดมนุษย์สร้างขึ้น นักวิจัยหญิงฮ่องกงลั่นจะโชว์หลักฐานวิทย์
อ้างโควิดมนุษย์สร้างขึ้น – เดลีเมล์ รายงานว่า ดร.เยี่ยน หลี่เมิ่ง ผู้เชี่ยวชาญไวรัสวิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยา มหาวิทยาลัยสาธารณสุขฮ่องกง หรือ Hong Kong School of Public Health ให้สัมภาษณ์ว่า จะแสดงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ยืนยันคำกล่าวอ้างของตนเองก่อนหน้านี้ ว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้คนป่วยเป็นโรคโควิด-19 เป็นไวรัสที่มนุษย์สร้างขึ้น
ดร.เยี่ยนให้สัมภาษณ์สื่อ Loose Women สถานีไอทีวี ของอังกฤษ จากสถานที่ที่ไม่เปิดเผย หลังหนีออกจากฮ่องกงไปยังสหรัฐอเมริกา ว่า ทางการจีนทราบเรื่องนี้ดีก่อนจะมีรายงานปรากฏขึ้น อีกทั้งทางการจีนยังลบข้อมูลการศึกษาของตนออกจากฐานข้อมูลรัฐบาลด้วย
นักวิจัยหญิงกล่าวว่า รายงานที่ว่าโควิด-19 เริ่มต้นที่ตลาดสดเมืองอู่ฮั่นเป็นแค่ม่านบังตา ตนเตรียมจะตีพิมพ์รายงานที่มีหลักฐานประกอบว่า ไวรัสตัวนี้เป็นเชื้อที่คนสร้างขึ้น ไม่ได้มาจากธรรมชาติ
เมื่อพิธีกรถามว่า ไวรัสมาจากที่ไหน ดร.เยี่ยนกล่าวว่า มาจากห้องทดลองในอู่ฮั่น
“การหาลำดับคู่เบสในสาย DNA ทั้งหมด (genome sequencing) ก็เหมือนกับลายนิ้วมือ จากฐานข้อมูลดังกล่าวคุณจะบอกที่มาที่ไปสิ่งต่างๆ ได้ ฉันจะใช้หลักฐานนี้บอกประชาชนว่า เชื้อนี้มาจากห้องแล็บในจีน และทำไมพวกเขาคือกลุ่มคนที่สร้างมันขึ้นมา″ ดร.เยี่ยนกล่าวและว่า
“ใครก็ถาม ต่อให้ไม่มีความรู้ด้านชีววิทยาจะอ่านเรื่องนี้ได้ ตรวจสอบ ชี้ชัดและพิสูจน์ได้ด้วยตัวคุณเอง มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องเข้าใจ เพราะถ้าเราเอาชนะมันไม่ได้ มันจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของทุกคน”
นักวิจัยหญิงกล่าวด้วยว่า นอกจากทางการจะลบข้อมูลของตนแล้ว ยังสั่งให้คนอื่นๆ ปล่อยข่าวลือโจมตีตนด้วย
“พวกเขาจะปล่อยข่าวว่าฉันเป็นคนขี้โกหก ไม่ได้รู้เรื่องอะไร หรือแม้แต่ข่าวลือว่าฉันฆ่าหนูแฮมสเตอร์ในห้องทดลอง พวกเขาพยายามจะควบคุมครอบครัวและเพื่อนฝูงของฉัน เพื่อให้ฉันไม่มีตัวตนอีก”
ดร.เยี่ยนเป็นนักวิจัยประจำมหาวิทยาลัยชั้นนำของฮ่องกง และเป็นศูนย์วิจัยชั้นนำของโลก ที่เป็นเครือข่ายขององค์การอนามัยโลก นักวิจัยหญิงเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกๆ ที่ศึกษาไวรัสโคโรนา เมื่อมีหัวหน้าทีมมาขอให้ช่วยศึกษาเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคคล้ายซาร์ส ที่เริ่มปรากฏขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่
ขณะที่ศึกษาค้นคว้าอยู่นั้น ดร.เยี่ยนอ้างว่า ตนเองไปเจอตอที่ทางการพยายามปกปิด เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการติดต่อระหว่างมนุษย์ นอกจากนี้ทางการยังเพิกเฉยต่อรายละเอียดว่าไวรัสมีต้นตอมาอย่างไร
A worker in a protective suit is seen at the closed seafood market in Wuhan, Hubei province, China January 10, 2020. REUTERS/Stringer
เมื่อยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดร.เยี่ยนกล่าวว่า ทำให้รู้สึกว่าเป็นหน้าที่และจริยธรรมทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องเปิดเผยเรื่องราวให้คนรู้
“ดิฉันเป็นแพทย์และดุษฎีบัณฑิต ดิฉันทำงานกับผู้เชี่ยวชาญระดับสูงในโลก เพราะฉันมีสองปริญญาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ดิฉันได้รับมอบหมายให้สอบสวนอย่างลับๆ ถึงอาการป่วยที่ปอดแบบใหม่ในอู่ฮั่น
ตอนที่ดิฉันพบหลักฐานและรายงานต่อผู้บังคับบัญชา กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะทุกคนต่างกังวล ดังนั้นดิฉันจึงเงียบไว้ก่อน แต่รู้ว่าถึงอย่างไรก็ต้องบอกผู้คน ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครแสดงปฏิกริยาอะไรเลยกับรายงานที่ดิฉันบอกว่า ไวรัสมันติดต่อจากคนสู่คนได้ เพราะทุกคนกลัวรัฐบาล
ดิฉันรู้ว่านิ่งเงียบต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะมันเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเฉพาะเมื่อตรุษจีนใกล้เข้ามา ฉันรู้ว่าไวรัสนี้อันตรายมาก เพื่อเห็นแก่ความเป็นมนุษย์และสุขภาพของโลก ดิฉันปิดปากเงียบต่อไปไม่ได้” ดร.เยี่ยนกล่าว
หลังจากนักวิจัยหญิงเผยแพร่ข้อมูลออกไป คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนก็แถลงปฏิเสธ และว่าไม่มีหลักฐานยืนยันใดๆ ว่าไวรัสหลุดออกมากจากห้องทดลอง อีกทั้งจีนยังเร่งรับมือทันทีทันใด เพื่อหยุดการระบาดของเชื้อ
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_4891677
ทัพฟ้ามะกันเสริมเขี้ยวเล็บ – วันที่ 10 ก.ย. ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกานำหุ่นยนต์สุนัขเข้าทดสอบในภารกิจซ้อมรบที่ทะเลทรายโมฮาวี รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นปฏิบัติการซ้อมรบด้วยอาวุธไฮเทคครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพสหรัฐฯ
หน่วยสุนัขหุ่นยนต์ดังกล่าวเป็นเพียงหนึ่งในอาวุธไฮเทคที่กองทัพสหรัฐนำมาทดสอบระบบควบคุมแบบใหม่ เรียกว่า แอดวานซ์ แบ็ทเทิล แมเนจเมนต์ ซิสเต็ม หรือเอบีเอ็มเอส ซึ่งใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหาภัยคุกคามและตอบโต้อันตรายใดๆ ที่มีต่อกองทัพสหรัฐฯ ตั้งแต่ในประเทศจนถึงในอวกาศ
วิลล์ โรเปอร์ ผู้ช่วยเลขานุการกองทัพอากาศ ฝ่ายการขนส่งและเทคโนโลยี กล่าวว่า การต่อสู่ในอนาคต ทหารจะต้องเผชิญกับข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจต่อยุทธวิธี การประมวลผลที่รวดเร็วของข้อมูลในระดับนาโนวินาทีจึงจำเป็นเพื่อช่วยเหลือจุดนี้
“การรบในอนาคตนั้นข้อมูลถือว่ามีค่าพอๆ กันกับเชื้อเพลิงของเครื่องบินรบเลยก็ว่าได้ครับ เพราะเป็นกุญแจสำคัญในยุทธการต่างๆ” ผู้ช่วยเลขาฯทอ.สหรัฐ ระบุ
รายงานระบุว่า ปฏิบัติการซ้อมรบไฮเทคของสหรัฐฯ เกิดขึ้นระหว่าง 31 ส.ค. ถึง 3 ก.ย. มีทุกเหล่าเข้าร่วมตั้งแต่ 3 เหล่าทัพ นาวิกโยธิน และหน่วยยามฝั่งด้วย โดยทะเลทรายโมฮาวีเป็นเพียง 1 ใน 30 แห่ง ของปฏิบัติการซ้อมรบครั้งนี้ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
สำหรับหน่วยสุนับหุ่นยนต์นั้นมีชื่อรุ่นว่า วิชั่น 60 ยูจีวี ย่อมาจาก อันแมน กราวนด์ วิฮีเคิล ที่แปลว่า ยานบกไร้พลขับ ผลิตและพัฒนาโดยบริษัท โกสต์ โรโบติกส์ รัฐฟิลาเดลเฟีย มีความสามารถปฏิบัติการได้ทุกพื้นที่ และสภาพอากาศ ภายในติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับหลายชนิด ทำหน้าที่ลาดตระเวนและแจ้งความเคลื่อนไหวสิ่งผิดปกติให้ทหารผู้บังคับทราบ
พลเอกจอห์น เรย์มอนด์ ผู้บัญชาการยุทธการอวกาศ ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ระบุว่า อยู่ระหว่างการหาทางเชื่อมต่อระบบเอบีเอ็มเอสให้กับทหารทุกคนในสนามรบ เรียกว่า ระบบคิลเชน (ห่วงโซ่สังหาร) ถือเป็นกุญแจสำคัญในการรบยุคแห่งข้อมูล
https://www.khaosod.co.th/newspaper-column/sci-tech/news_4880110
สุดแข็งแกร่ง! หนุ่มมองโกเลียทุบสถิติโลก ใช้ “ฟัน” ลากรถบัส 15 ตัน (มีคลิป) ดูความรู้ทางฟิสิกส์ มนุษย์จอมพลัง http://nuclear.rmutphysics.com/blog-sci5/?p=14061
โพสต์โดย ฟิสิกส์ ราชมงคล เมื่อ วันพุธที่ 9 กันยายน 2020
อูลานบาตอร์, 6 ก.ย. (ซินหัว) — เมื่อวันเสาร์ (5 ก.ย.) โซนิมิกห์ กันตุลกา ชายชาวมองโกเลียอายุ 28 ปีใช้ฟันกัดเชือกดึงรถบัสหนัก 15 ตันสำเร็จที่กรุงอูลานบาตอร์ เมืองหลวงของมองโกเลีย
คณะผู้จัดงานระบุว่ากันตุลกาใช้ฟันลากรถบัสเป็นระยะทางรวม 15 เมตร ทำลายสถิติโลกด้านการดึงยานพาหนะที่หนักที่สุดด้วยฟัน
เดิมทีรถบัสคันดังกล่าวมีน้ำหนัก 13 ตัน เมื่อรวมกับผู้ชมอีก 43 คนทำให้รถบัสที่กันตุลกาลากมีน้ำหนักรวม 15 ตัน
คณะผู้จัดงานคาดว่าสถิติใหม่นี้จะได้รับการยอมรับจากกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์ภายใน 2-3 สัปดาห์หลังการตรวจสอบข้อมูลเสร็จสิ้น ซึ่งจะทำลายสถิติของ อีกอร์ ซารีปอฟ ชายชาวรัสเซียที่ใช้ฟันดึงรถบัสพร้อมผู้โดยสารที่มีน้ำหนักรวม 13.7 ตันด้วยระยะทางกว่า 5 เมตรที่ประเทศจีนในปี 2015
https://www.sanook.com/news/8246891/
ดูความรู้ทางฟิสิกส์
มนุษย์จอมพลัง
เดือนเมษายน ค.ศ. 1974 นายจอร์น แมสสิส สามารถใช้พละกำลังของตัวเขาเองในการลากโบกี้รถไฟ จากรูปจะเห็นว่าเขาใช้ปากงับเชือกที่ผูกไว้กับโบกี้รถไฟแล้วก็ดึงตู้โบกี้ทั้งตู้ไปตามราง โดยปกติตู้โบกี้จะมีน้ำหนักประมาณ 70 ตัน จะเห็นว่าแรงที่เขาต้องใช้มีค่ามหาศาลมาก ทุกคนคงจะมีคำถามอยู่ในใจว่า นายจอร์น แมสสิสเป็นซุปเบอร์แมนหรือไม่? และฟันของเขาสามารถทนแรงมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร อ่านต่อครับ
ไฮเปอร์โซนิก: เครื่องบินเร็วเหนือเสียง 5 เท่า ที่กำลังพัฒนาอยู่ มีความก้าวหน้าถึงขั้นไหน – BBCไทย
“ผมทำงานกับสิ่งที่บินเร็วมาตลอด” อาดัม ดิสเซล หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการในสหรัฐฯ ของบริษัทรีแอ็กชัน เอนจินส์ (Reaction Engines) กล่าว
บริษัทของอังกฤษแห่งนี้กำลังสร้างเครื่องยนต์ที่สามารถบินได้เร็วจนมองแทบไม่ทัน และหากใช้เครื่องยนต์ไอพ่นที่มีอยู่ในขณะนี้ทำการบิน เครื่องยนต์ก็หลอมละลายไปเลย
ทางบริษัทต้องการทำความเร็วให้ได้ระดับไฮเปอร์โซนิก หรือมากกว่า 5 เท่าของความเร็วเสียง ที่อัตราเร็วประมาณ 6,400 กม./ชั่วโมง หรือ มัค 5 (Mach 5)
แนวคิดนี้มาจากความต้องการสร้างเครื่องบินโดยสารความเร็วสูงให้ได้ภายในทศวรรษ 2030
“ไม่จำเป็นต้องถึงระดับมัค 5 ก็ได้ อยู่ที่มัค 4.5 ก็จะง่ายกว่าในทางฟิสิกส์” นายดิสเซล กล่าว
ด้วยความเร็วระดับนั้น คุณสามารถบินจากลอนดอนไปซิดนีย์ได้ในเวลา 4 ชั่วโมง หรือจากลอสแอนเจลิสไปโตเกียวได้ในเวลา 2 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยส่วนใหญ่เกี่ยวกับเที่ยวบินไฮเปอร์โซนิกไม่ใช่เพื่อการบินพลเรือน แต่งานวิจัยเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากวัตถุประสงค์ทางการทหาร ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายประเทศแข่งกันพัฒนาด้านนี้
เจมส์ แอ็กตัน เป็นนักฟิสิกส์ของสหราชอาณาจักร ที่ทำงานให้กับมูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ (Carnegie Endowment for International Peace) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ของสหรัฐฯ กล่าวว่าจากการสำรวจความพยายามของสหรัฐฯ จีน และรัสเซียในการพัฒนาอาวุธที่มีความเร็วระดับไฮเปอร์โซนิก เขาได้ข้อสรุปว่า “มีระบบไฮเปอร์โซนิกหลากหลายรูปแบบที่กำลังอยู่ระหว่างการออกแบบ”
วัสดุพิเศษต่าง ๆ ที่สามารถทนทานต่อความร้อนที่สูงมากซึ่งเกิดจากการทำความเร็วระดับมัค 5 และใช้เป็นที่ติดตั้งเทคโนโลยีอื่น ๆ ได้ กำลังจะทำให้เที่ยวบินไฮเปอร์โซนิกในชั้นบรรยากาศโลกเกิดขึ้นได้จริง
https://www.khaosod.co.th/newspaper-column/sci-tech/news_4834688