ตึก47ปีถูกป่นในพริบตา คนเคยทำงานเห็นแล้วน้ำตาไหล

ตึก47ปีถูกป่นในพริบตา – เมื่อ 19 พ.ค. เอพี รายงานบรรยากาศในเหตุการณ์การระเบิดทิ้งอาคารมาร์ติน ทาวเวอร์ ที่ตั้งบริษัท เบธเลเฮม สตีล สูง 21 ชั้น ในรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ภายในเวลาไม่กี่วินาที

ผู้คนเดินทางมาชมการทำลายตึกทิ้งกันจำนวนมาก เพราะอาคารอายุ 47 ปี แห่งนี้มีความสูงมากที่สุดในชุมชน เคยเป็นที่ตั้งบริษัท เบธเลเฮม สตีล ของสหรัฐอเมริกา ที่โ่่ด่งดังและทำกำไร อีกทั้งยังอยู่มานานนับสิบปี หลังจากเจ้าของธุรกิจผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับสองของประเทศถอนกิจการออกไป

 การระเบิดทำลายตึกใช้เวลาเพียง 16 วินาที กลุ่มควันก้อนใหญ่ตลบขึ้นไปทั่วท้องฟ้า พร้อมฝุ่นที่กระจายไปท่ัวบริเวณ

 นายไทเลอร์ เคนต์ ผู้ทำงานกับบริษัทเบธเลเฮม สตีล มานาน 46 ปี เลี้ยงลูกๆ มา 11 คน กล่าวว่า ขณะมองตึกถูกระเบิดทำลาย หัวใจเหมือนหยุดเต้น ตน พ่อ และญาติคนอื่นๆ ล้วนภาคภูมิใจที่เคยทำงานให้กับบริษัทที่ผลิตอาวุธให้สหรัฐ

 “การมองตึกพังลงมาทำให้น้ำตาไหล ผมไม่คิดว่ามันจะมีผลสะเทือนอารมณ์มากขนาดนี้ แต่ไม่อยากจะเชื่อว่า มันไม่อยู่แล้ว น่าเศร้าใจจริงๆ”

 สำหรับเจ้าของโครงการมาร์ติน ทาวเวอร์ ชุดปัจจุบัน มีแผนที่จะพัฒนาโครงสร้างอาคารใหม่ขึ้นมา ให้สูง 101 เมตร สูงที่สุดในเพนซิลเวเนีย ซึ่งรวมเมือง อัลเลนทาวน์ เบธเลเฮม  และอีสตัน

 มูลค่าการลงทุนก่อสร้าง 200 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้มีอาคารอออฟฟิศการแพทย์ ร้านขายปลีก ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ โรงแรม และอพาร์ตเมนต์

https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_2533682

คลิก  

แสงเหนือ : พายุแม่เหล็กโลกจากการระเบิดบนดวงอาทิตย์ ทำให้มีโอกาสเห็นแสงเหนือเพิ่มขึ้น – BBCไทย

แสงเหนือ ปรากฏการณ์ที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า มักพบเห็นได้ในภูมิภาคอาร์กติกเท่านั้น แต่ในช่วง 2-3 วันนี้ แสงเหนืออาจพบเห็นได้ในพื้นที่ที่มีละติจูดต่ำลงมา ซึ่งเป็นผลมาจากพายุแม่เหล็กโลก (geomagnetic storm) ที่กำลังพัดโถมมาสู่โลก

ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติ (National Oceanic and Atmospheric Administration–NOAA) ซึ่งเป็นสำนักงานพยากรณ์อากาศของสหรัฐฯ ระบุว่า พายุนี้มีความรุนแรงระดับปานกลาง แต่ก็รุนแรงพอที่จะทำให้เกิดแสงเหนือในแคนาดา และหลายรัฐทางตอนเหนือของสหรัฐฯ ไปจนถึงวันศุกร์นี้

พายุแม่เหล็กโลกคืออะไร?

พายุแม่เหล็กโลกเป็นการรบกวนสนามแม่เหล็กโลกที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่าง ลมสุริยะ หรืออนุภาคที่มีพลังงานที่ถูกพัดออกมาจากดวงอาทิตย์ผ่านระบบสุริยะ กับสนามแม่เหล็กโลก

• นาซาอธิบายสาเหตุที่ดวงจันทร์กำลังหดตัวลง
• พืชที่ทนทานที่สุดในโลก อายุ 32,000 ปี และอาจอยู่รอดบนดาวอังคาร

พายุแม่เหล็กโลก เกิดขึ้นจากการปะทุของลมสุริยะที่รุนแรงและยาวนาน

พายุขนาดใหญ่ที่สุด เกิดจากการปลดปล่อยมวลของดวงอาทิตย์ (coronal mass ejections–CMEs) ซึ่งมีการปล่อยพลาสมาสุริยะและออกมาจากเขตสุริยะที่มีสนามแม่เหล็กรุนแรง

ปกติ CMEs ใช้เวลาหลายวันกว่าจะเดินทางมาถึงโลก แต่พายุที่รุนแรงที่สุดใช้เวลาเดินทางมายังโลกเพียง 18 ชั่วโมงเท่านั้น

การระเบิดบนดวงอาทิตย์

พายุแม่เหล็กโลกที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ เกิดจาก CMEs 3 ครั้งที่จุดดำบนดวงอาทิตย์ (sunspot) ซึ่งเป็นบริเวณบนดวงอาทิตย์ที่อุณหภูมิพื้นผิวลดลง จากการที่มีสนามแม่เหล็กกระจุกตัวอยู่สูง

อนุภาคของดวงอาทิตย์ เดินทางผ่านอวกาศ และกระทบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางมัน

เมื่อ CME กระทบกับโลก มันได้ปะทะกับอะตอมและโมเลกุลในชั้นบรรยากาศโลก การปะทะนี้ ทำให้เกิดแสงเหนือและแสงใต้ (ซึ่งเกิดขึ้นในภูมิภาคแอนตาร์กติก)

ผลกระทบ

เคราะห์ร้าย พายุแม่เหล็กโลกที่รุนแรง มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงปรารถนาบางอย่าง พวกมันรบกวนสายส่งไฟฟ้า, การสื่อสาร และระบบนำร่องด้วยดาวเทียม

นักวิทยาศาสตร์บางคน สงสัยว่า พวกมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรบกวนนาฬิกาชีวภาพของมนุษย์ และทำให้อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตแปรปรวน

เซอร์ไก โบกาชอฟ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชาวรัสเซีย ระบุว่า พายุที่เกิดขึ้นตอนนี้ มีความรุนแรงที่สุดในรอบ 18 เดือน แต่ถูกจัดอยู่ใน “ระดับ 3 จากการวัดระดับ 1-5”

NOAA เน้นย้ำว่า จุดดำบนดวงอาทิตย์ที่ทำให้เกิด CME นี้ ดูเหมือนจะกำลังแตกสลาย และไม่น่าจะปลดปล่อยมวลมหาศาลที่ส่งผลรุนแรงต่อโลกได้

ดังนั้น พายุครั้งนี้จึงไม่สามารถเปรียบได้กับ พายุสุริยะขนาดใหญ่ในปี 1859 ซึ่งเป็นพายุสุริยะที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ มันส่งผลให้ระบบโทรเลขมีปัญหา และแสงเหนือสามารถมองเห็นได้ลงไปทางใต้สุดถึงเกาะบาฮามาส

รายงานของสภาวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Academy of Sciences) ของสหรัฐฯ ประเมินว่า “กรณีที่เกิดพายุแม่เหล็กโลกรุนแรง” อาจสร้างความเสียหายในช่วงปีแรกปีเดียวได้ถึง 1-2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 32-63 ล้านล้านบาท และโลกเราอาจจะต้องใช้เวลา 4-10 ปี ในการฟื้นฟู

โชคดี พายุลูกที่กำลังเกิดขึ้นนี้ น่าจะได้รับการจดจำไว้เพียงแค่ว่า ทำให้เห็นแสงเหนือมากขึ้น เท่านั้น

 คลิก  

บริษัท ซัมซุง ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ แนะนำ “ไฟเออร์วาส” แจกันดอกไม้ประดับบ้านที่มาพร้อมคุณสมบัติในการดับไฟไหม้ และป้องกันการสูญเสียทั้งทรัพย์สินและชีวิต

รูปลักษณ์ภายนอกของไฟเออร์วาสนั้นเหมือนกับแจกันทั่วไป ทำจาก พอลิไวนิลคลอไรด์ (พีวีซี) ยืดหยุ่น แข็งแรงทนทาน มีสีแดงระเรื่อดูสวยงาม สามารถใส่ดอกไม้และต้นไม้เพื่อเพิ่มความสดใสให้กับเคหสถาน แต่ด้วยผิวด้านนอกของแจกันซึ่งมีส่วนผสมของ โพแทสเซียมคาร์บอเนต

เมื่อขว้างแจกันไฟเออร์วาสไปยังต้นเพลิง โพแทสเซียมคาร์บอเนตจะทำปฏิกิริยาลดความร้อน และการปิดกั้นออกซิเจน ส่งผลให้ออกซิเจนที่อยู่ในอากาศไม่สามารถเข้าไปทำปฏิกิริยาในกระบวนการเผาไหม้ได้ และทำให้ไฟดับลงได้ในที่สุด

ซัมซุงระบุว่า เหตุผลหนึ่งที่บริษัทพัฒนาไฟเออร์วาส เพราะต้องการปรับมุมมองที่ผู้คนมีต่อถังดับเพลิงซึ่งมักจะถูกนำไปวางไว้ในที่ปิด เนื่องจากรูปทรงไม่ชวนมองและการใช้พื้นที่ในการติดตั้ง ส่งผลให้เสียเวลาในการหยิบใช้ถังดับเพลิงเมื่อเกิดไฟไหม้

ต่างจากไฟเออร์วาสซึ่งนำไปวางประดับตามที่ต่างๆ โดยไม่บดบังความสวยงามของสถานที่ และหยิบจับใช้งานได้รวดเร็วทันท่วงที

https://www.khaosod.co.th/sci-tech/news_2513879

คลิก  

กัปตันพม่าฮีโร่ นำเครื่องบินเกียร์เดี้ยงลงจอดไม่มีล้อหน้า 89ชีวิตปลอดภัย

กัปตันพม่าฮีโร่ –  เอพี รายงานว่า นักบินเมียนมาป้องกันเหตุร้ายได้ หลังเกียร์ลงจอดด้านหน้าของเครื่องบินขัดข้อง ทำให้เครื่องบินลงจอดฉุกเฉินแบบหน้าทิ่ม เพราะไม่มีล้อหน้าเมื่อช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 12 พ.ค.  ที่สนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์ ไม่มีผู้บาดเจ็บ

เครื่องบินของสายการบินแห่งชาติเมียนมาเที่ยวบิน ยูบี-103 เดินทางจากนครย่างกุ้ง ลงจอดถึงพื้นเวลาราว 09.00 น. ที่สนามบินนานาชาตินครมัณฑะเลย์ เมืองท่องเที่ยวยอดนิยม ขณะบรรทุกผู้โดยสาร 82 คน ลูกเรือ 7 คน รวม 89 ชีวิตอย่างปลอดภัย แม้จะระทึกขวัญ

ภาพวิดีโอในโซเชี่ยลมีเดียแสดงเครื่องบินลงจอดอย่างงดงามก่อนที่จมูกเครื่องบินจะเอียงคล้ายจะคว่ำก่อนหยุดชะงัก

นับเป็นเหตุลงจอดที่ลุ้นระทึกครั้งที่สองภายในไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ที่เครื่องบินทำหน้าที่ผิดปกติในเมียนมา

อ่านข่าว : บาดเจ็บยกลำ 33 ชีวิต เครื่องบินบังกลาเทศ ไถลหลุดรันเวย์พม่า

นายเอ ฮตูต์ ออง รองอธิบดีกรมการบินพลเรือนเมียนมากล่าวว่า นักบินพยายามที่จะทิ้งเกียร์ลงลอดที่ด้านหน้าของเครื่องบินหลายครั้ง ครั้งแรกผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ครั้งที่สองใช้มือ โดยบินวนสองรอบและขอให้ตรวจสอบว่าล้อลงจอดออกมาหรือไม่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องลงจอดด้วยล้อหลัง ซึ่งกัปตันลงจอดได้อย่างชำนาญ

นายโซ โม ผู้โดยสารกล่าวว่า เห็นควันออกมาเล็กน้อยเมื่อลงจอด ผู้โดยสารทุกคนปลอดภัย เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นหลังบิมาน บังกลาเทศ แอร์ไลน์ สายการบินแห่งชาติบังกลาเทศลงจอดลื่นไถลออกรันเวย์ ขณะลงจอดที่สนามบินย่างกุ้งระหว่างพายุเมื่อวันพุธที่ 8 พ.ค. ทำให้ผู้โดยสารบาดเจ็บ 11 คน

https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_2508153